“เดอะ แบก” เเห่ง เดอะ บริดจ์
นี่คือแฮตทริกแรกของ โคล พาลเมอร์ ในศึกพรีเมียร์ลีก และเป็นประตูที่ 16 ของเขาแล้วในลีกฤดูกาลนี้ ขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล), โดมินิค โซลันเก (บอร์นมัธ) และ โอลลี วัตกินส์ (แอสตัน วิลลา) ตามหลัง เออร์ลิง ฮาลันด์ ดาวยิง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียง 2 ลูก (18)
เท่านั้นไม่พอ พาลเมอร์ ของ เชลซี (วัย 21 ปี กับอีก 334 วัน) กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 200 ที่ทำแฮตทริกได้ในพรีเมียร์ลีก และเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดอันดับสามที่ยิงได้ 3 ลูก+ ในการเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อจาก โรเมลู ลูกากู (20 ปี 6 วัน, ในเดือนพฤษภาคม 2013) และ เดวิด เบนต์ลีย์ (21 ปี 158 วัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006)
สำหรับสโมสร เชลซี นี่คือแฮตทริกครั้งที่ 29 ของพวกเขาบนเวทีพรีเมียร์ลีก มากสุดเป็นลำดับ 5 ร่วมกับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์
สโมสรที่ผลิตแฮตทริกได้มากสุด คือ 1. ลิเวอร์พูล (42), 2. อาร์เซนอล (41), 3. แมนฯ ซิตี้ (40), 4. แมนฯ ยูไนเต็ด (36)
ต้อนรับไม่อบอุ่น
เมสัน เมาต์ ย้ายจาก เชลซี มายังโรงละครแห่งความฝัน ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ (รวมแอด-ออนส์) เมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว
เอริค เทน ฮาก กล่าวในแถลงข่าวก่อนเกมว่า “ผมไม่คิดว่า เชลซี อยากขายเขา (เมาต์) ออกจากทีม!”
“พวกเขาอยากเก็บเขาไว้กับทีมต่อไป และเสนอสัญญาฉบับใหม่ให้กับเขาไปหลายครั้ง แต่เขาต้องการก้าวไปอีกขั้น ก็เลยตัดสินใจย้ายมาร่วมทัพ แมนฯ ยูไนเต็ด”
เขาเป็นเด็กจากอะคาเดมีของสิงห์บลูส์ โดยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ เชลซี ไปเกือบ 200 นัดรวมทุกรายการ ทำไปทั้งหมด 33 ประตู กับอีก 37 แอสซิสต์
ตอนที่ เมาต์ ลงมาอบอุ่นร่างกายก่อนที่เกมคู่นี้จะเริ่มต้นขึ้น มีแฟนบอลบางส่วนโห่ใส่เขา แต่บางส่วนก็ปรบมือต้อนรับเขา และในช่วงที่ เชลซี ออกนำทีมเยือน 2-0 แฟนบอลเจ้าบ้านตะโกนเย้ย เมาต์ ว่า “เมสัน, เมสัน สกอร์เท่าไหร่แล้วนะ?”
เขาถูกส่งลงมาในนาทีที่ 86 พร้อมกับเสียงโห่จากแฟนบอลเจ้าถิ่น รวมไปถึงทุกจังหวะที่เขาสัมผัสบอล และตอนนี้เขากลายเป็นคนทรยศในสายตาแฟนบอลบางคนไปแล้ว
เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดอีกครั้ง
แน่อนว่าสกอร์รวม 7 ลูก และโอกาสยิงรวมกันทั้งหมด 47 ครั้ง มันเป็นเกมที่เอนเตอร์เทนผู้ชมทางบ้านและแฟนบอลในสนาม แต่หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียด คงไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนแฮปปี้
ประตูที่เกิดขึ้นล้วนเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดของทั้งสองฝ่าย แถมมันเป็นการพลาดแบบง่ายๆ ชนิดที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง อย่าลืมว่านี่คือเกมใหญ่ เกมสำคัญ และจำเป็นต้องลดข้อผิดพลาดให้ได้มากที่สุด
ประตู 1-0 ของ เชลซี : ผู้เล่น ยูไนเต็ด เสียบอลในแดนตัวเอง ค็อบบี ไมนู จ่ายบอลไปให้ อเลฮานโดร การ์นาโช แต่บอลดันย้อนหลัง ทำให้ เชลซี ตัดบอลไปได้ แถมจังหวะนั้น ดีโอโก ดาโลต์ วิ่งเติมขึ้นไปข้างบนทำให้พื้นที่หลังบ้านฝั่งซ้ายเปิด
ประตู 2-0 ของ เชลซี : อันโทนี ไปพลาดท่าให้ มาร์ค กูกูเรยา จนทำให้ทีมเสียจุดโทษ
ประตู 1-2 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด : มอยเซส ไกเซโด ไปแจกโชคให้ การ์นาโช
ประตู 3-2 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด : เบอนัวต์ บาเดียชิล กองหลังเจ้าถิ่นพลาดเสียบอล เลยโดนทีมเยือนสวนกลับเร็ว
ประตู 3-3 ของ เชลซี : ดาโลต์ เสียท่าให้ โนนี มาดูเอเก กลายเป็นทำให้ทีมเสียจุดโทษ
ประตู 4-3 ของ เชลซี : ลูกทีมของ เอริค เทน ฮาก ไม่มีสมาธิ ไม่ละเอียด จัดระเบียบเกมรับกันไม่ดี ชี้นิ้วกันอย่างเดียว
ยูไนเต็ด จ่อทุบสถิติตัวเอง
จากความพ่ายแพ้ต่อทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน ล่าสุด ส่งผลให้ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ไปแล้ว 12 เกมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ทาบฤดูกาล 2013/14 และ 2021/22
– 2013/14 : แพ้ 12 เกม
– 2015/16 : แพ้ 10 เกม
– 2018/19 : แพ้ 10 เกม
– 2021/22 : แพ้ 12 เกม
*2023/24 : แพ้ 12 เกม (เหลืออีก 8 นัดสุดท้าย)
ปีศาจแดงไม่เคยมีจำนวนเกมที่แพ้มากขนาดนี้ในยุคพรีเมียร์ลีก หากพวกเขาแพ้อีก 1 นัด มันจะเป็นการแพ้เยอะสุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
โรคเดี้ยงตามหลอกหลอนไม่เลิก
ก่อนหน้านี้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ สองกองหลังปีศาจแดงเจอโรคเดี้ยงเล่นงาน และต้องพักอย่างต่ำเป็นเวลา 1 เดือน
ล่าสุด ดูเหมือนว่า ราฟาแอล วาราน และ จอนนี อีแวนส์ เจออาการบาดเจ็บเล่นงานอีกครั้ง
รายแรกเล่นไปได้เพียง 45 นาทีของครึ่งแรก ก่อนถูกเปลี่ยนออกในช่วงพักครึ่ง ส่วนรายหลังถูกส่งลงมาแทน วาราน แต่ลงเล่นไปได้เพียง 20 นาที และถูกเปลี่ยนออกไป
ยังไม่ชัวร์ว่าอาการบาดเจ็บของทั้งคู่ร้ายแรงแค่ไหน และจะฟิตทันเกมแดงเดือนวันอาทิตย์นี้หรือไม่?
“ณ ตอนนี้ ผมยังไม่รู้ ผมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้หรอก” เอริค เทน ฮาก กล่าวสั้นๆ ถึงอาการบาดเจ็บของทั้งสองคน